เว็บบอร์ด
Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.

ระวังการแต่งกาย

Go down

ระวังการแต่งกาย Empty ระวังการแต่งกาย

ตั้งหัวข้อ by Profile Mon Aug 04, 2014 2:43 pm


จากวจนะของท่านศาสดา (ซ.ล.) ว่า
" ในพวกรุ่นหลังจากอุมมะต์ของฉัน จะมีสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์แต่ว่าเปลีือย บนศรีษะของหล่อนก็จะมีอะไรคล้ายโหนกอูฐอยู่ สาปแช่งเถอะ
เพราะแท้จริงพวกนั้นถูกสาปแช่งแล้ว "

ในอีกวัจนะหนึ่งของท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า
" จะไม่มีโอกาสได้เข้าสวรรค์ หรือแม้กระทั้งโอกาสที่จะเชยชมกลิ่นไอของสวรรค์ " อัต ฏอบรอนี และซอเฮี้ยะมุสลิม

ครั้งหนึ่งอัสมะ (บุตรสาวของอบูบักร.) ได้ไปเยี่ยมเยียนพี่สาวของหล่อนถึงบ้่าน คือบ้านของนางอาอิชะห์ ซึ่งเป็นภรรยานางหนึ่งของท่านศาสดา (ซ.ล.)
เมื่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้มองเห็นว่าอาภรณ์ที่อัสมะสวมใส่อยู่นั้นไม่หนาพอ ท่านก็เบือนหน้าหนีด้วยความไม่พอใจทีเดียว พร้อมกับพูดขึ้นว่า
" เมื่อผู้หญิงแตกเนื้อสาวจนบรรลุศาสนภาวะแล้ว ไม่เป็นการบังควรที่เธอจะเผยส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายให้ใครเห็น นอกจาก...... "
และท่านก็ได้ชี้ไปที่หน้าและมือของท่าน

1 .ไม่เป็นการบังควรแก่สตรีมุสลิมที่จะเปิดเผยโฉม และความสวยมีเสน่ห์

ที่มาจากสัดส่วนที่น่าพิศมัยของนางเอง หรือได้มาจากการใช้เครื่องสำอาง และเครื่องประดับประดาบนเรือนร่างกายก็ตาม เว้นไว้แต่ส่วนที่พึงอนุญาตให้เปิดเผยได้ คำว่า " ซีนะต์ زينة " นั้นมีความหมายสองแง่ แง่แรกนั้นหมายถึงของในกาย คือความงาม ความสวย และความมีเสน่ห์ ที่เป็นธรรมชาติโดยของผู้หญิงโดยทั่วไป เช่น ผมดำ ลำคอยาว แขนเล็กเรียว และสะโพกอันกลมกลึง เป็นต้น ส่วนอีกแง่นั้นหมายถึง ความงามหรือความสวยที่ผู้หญิงไปแสวงหามาได้ ซึ่งเป็นของนอกกาย อย่างเช่น แหวน สร้อย และเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ เป็นต้น

อะไรคือ " ซีนะต์ زينة" ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปกปิด มีคำอธิบายไว้เป็นสองประการได้ดังต่อไปนี้

ก. อธิบายว่าเป็นหน้าและมือ นี่เป็นความคิดเห็นของนักปราชน์ฟิกห์ส่วนใหญ่ ทั้งในอดีตและแม้แต่ในปัจจุับันก็ตาม

การตีความเช่นนี้ได้ยืนยันจากฮิจมะห์ หรือการลงมติว่าในช่วงการทำฮัจญ์ และในเวลาละหมาดนั้น สตรีมุสลิมจะต้องใช้อาภรณ์ปกปิดทุกส่วนของร่างกาย เว้นไว้แต่หน้าและมือเท่านั้น นั้นก็หมายความว่า สตรีมุสลิมจะต้องปกปิดส่วนที่เป็น " เอาเราะฮ์ " นั้นเอง ซึ่งการตีความมาจากเช่นนี้ มีรากฐานมาจากอัลฮาดิษ ที่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ทรงมีวจนะว่า

" เมื่อผู้หญิงมุสลิมโตเป็นสาวเป็นนาง จนกระทั้งบรรลุซึ่งศาสนภาวะแล้วก็ไม่สมควรที่จะเผยส่วนใดของร่างกาย
นอกจาก.......นี่แล้ว ท่านศาสดาก็ชี้ไปที่หน้าและมือของท่าน"

ข. อธิบายว่ากรณีที่ไม่ต้องปกปิดนั้น เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยไม่สามารถยับยั้งได้ เช่นลมกรรโชกแรงจนทำให้กระโปรงเปิด หรือกำไลมือห้อยลงมาอยู่ที่มือ หรือเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นนอกที่สุด เป็นต้น.

2. ผ้าคลุมศรีษะหรือคุมุร นั้นควรจะให้ยาวพอที่จะปิดลำคอหรือญูยุบ ให้มิดชิด

" คุมุุร " เป็นศัพท์พหูพจน์ของ " คิมัร " ในภาษาอาหรับซึ่งแปลว่า อาภรณ์ที่ใช้คลุมศรีษะ

" ญูยุบ " เป็นศัพท์พหูพจน์ของ " ไญยุบ " ในภาษาอาหรับซึ่งหมายถึง " คอเสื้อ " สรุปความได้ว่า อาภรณ์ที่ใช้คลุมศรีษะหรือคิมัรนั้น ไม่เพียงแต่ใช้คลุมผมอย่างเดียว แต่จะต้องให้ยาวถึงคอเสื้อ และยาวพอเพียงเพื่อคลุมบริเวณทรวงอกด้วย



2.เสื้อผ้าที่ส่วมใส่ต้องหลวมและไม่รัดรูป

เงื่อนไขประการที่สองก็คือ สตรีมุสลิมจะต้องสวมเสื้อผ้าที่หลวมพอสัณฐานประมาณ เพื่อมิให้เกิดการเน้นที่สัดส่วนของร่างกาย หรือเพื่อมิให้เรือนร่างที่เว้าๆ นูนๆ ปรากฏชัดขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อัลกุรอ่านในซูเราะห์นูร อายะต์ที่ยกมาอ้างข้างต้นนี้ได้บัญญัติเอาไว้ และเป็นสิ่งทีมีความสำคัญยิ่งยวดในการปกปิด " ซีนะต์ زينة " ไม่ให้ใครเห็น เสื้อผ้าที่หลวมเพียงพอสัณฐานประมาณที่เราพบเห็นกันโดยทั่วไป ถึงแม้จะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ แต่กระนั้นก็ดี ยังบอกภาพพจน์ได้ถึงสัดส่วนของสตรีที่ส่วมมันอยู่นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนที่มักจะชวนให้เป็นที่วาบหวามใจ แก่บุรุษเพศ เช่น หน้าอกหรือปทุมถัน เอว สะโพก และช่วงขา ถ้าหากสิ่งเหล่านี้มิใช่ความงามที่เรือนร่างของสตรีหรือ " ซีนะต์ زينة" แล้ว อะไรคืองามที่เรือนร่างของสตรีหรือ " ซีนะต์ زينة" กันเล่า

ครั้งหนึ่งที่ท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้รับของขวัญเป็นผ่้าอาภรณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งได้ท่านได้มอบไปให้แก่อุสามะห์ บินเซด แต่เซดกับเอาผ้านั้นไปให้ภรรยาของเขาอีกทอดหนึ่ง อยู่ต่อมาวันหนึ่งท่านศาสดาจึงได้ถามถึงเหตุผล ที่เซดไม่ได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์ชิ้นนั้น เซดจึงตอบว่า เขาได้ให้อาภรณ์ของเขานั้นแ่กภรรยาของเขาไปแล้ว ท่านศาสดาจึงได้กล่าวแก่เซดว่า " ท่านจงบอกภรรยาของท่านใช้ฆอลาละห์ใต้เสื้อผ้าอาภรณ์ชิ้นนั้นด้วย เพราะฉันหวั่นใจว่า ถ้าภรรยาของท่านเอาไปสวมใส่ อาจทำให้เกิดภาพพจน์ บรรยายได้ถึงขนาดของกระดูกผู้ส่วมใส่มันที่เดียว " ฮาดิษนี้มีบันทึกใน มุสนัด อะหมัด , อัลบัยฮากี
(คำว่า " ฆอลาละห์ " หมายถึง อาภรณ์หนาๆชิ้นหนึ่งที่สวมใส่ใต้ชุดเสื้อด้านนอก ป้องกันมิให้เห็นสัดส่วนของร่างกายได้)

วิธีที่ดีที่สุดในการปกปิดของสัดส่วนของร่างกาย ก็คือการส่วมเสื้อผ้าคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ท่านศาสดา(ซ.ล.) ได้ทรงวจนะว่า
" ย่อมเป็นการพอเพียงแก่สตรีผู้ส่วมอาภรณ์โดยไม่ได้ใช้เสื้อคลุม หากอาภรณ์ชิ้นนั้น มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลัีกการของอิสลาม
ถึงแม้ว่านางจะไปละหมาดก็ตาม " อ้างอิงในหนังสือ ซัยยิด ซาบิค


3.เสื้อผ้าต้องหนา

เงื่อนไขประการที่สาม ชุดที่มุสลิมะห์สวมใส่อยู่นั้นจะต้องมีความหนาพอ ที่จะไม่สามารถมองทะลุไปเห็นเนื้อหนังมังสาที่อยู่ใต้อาภรณ์นั้นได้ อีกทั้งจะต้องหนาพอเพื่อซ่อนซัดส่วน หรือสัดส่วนของร่างกายที่จำเป็นต้องปกปิดอีกด้วย

จุดมุ่งหมายของอายะฮ์นี้ (ซูเราะฮ์นูร :31) ก็เพื่อที่จะให้ปกปิดเรือนร่างของสตรีมุสลิมทั้งหมด ยกเว้นหน้าและมือ ดังนั้นจึงเห็นได้แน่ชัดว่าเราจะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายปลายทาง ที่อรรถาอธิบายไว้ในอัลกุรอ่านได้อย่างไร ถ้าหากว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สตรีมุสลิมสวมใส่อยู่นั้น ยังบางพอที่จะมองทะลุเห็นเนื้อหนังมังสาได้ หรือไม่ก็บางพอที่จะเห็นสัดส่วน หรือสัดส่วนของเรือนร่างได้ หรือบางทีก็บางพอที่จะเห็นความงามในเรือนร่างนั้นได้ สิ่งเหล่านี้ได้มีอรรถาอธิบายไว้แจ้งชัดมาก


4.ข้อกำหนดประการที่สี่ ก็คือ ลักษณะที่ปรากฏบนเครื่องแต่งกายโดยทั่วไป

ลักษณะที่ว่านี้คือ ชุดหรืออาภรณ์ที่ใช้การแต่งกายของสตรีมุสลิมจะต้องไม่เย้ายวน หรือเรียกร้องความสนใจให้บุรุษเพศหันมาชื่นชมกับความงามของตน อัลกุรอ่านได้จารึกไว้อย่างชัดแจ้ง เกี่ยวกับอาภรณ์ำการแต่งกายของสตรีมุสลิม ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกปิดซ่อนเร้น " ซีนะต์ " ไว้ให้อยู่ใต้อาภรณ์ที่สวมใส่อยู่เท่านั้น ด้วยสาเหตุนี้จากสตรีสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ ที่ดึงดูดของบุรุษเพศได้แล้ว " ซ๊นะต์ " ที่อัลกุรอ่านได้ให้อรรถาอธิบายไว้จะถูกปกปิดซ่อนเร้นได้อย่างไรกัน

อัลกุรอ่านได้กล่าวถึงบรรดาภรรยาของท่านศาสดา (ซ.ล.) ในฐานะตัวอย่างสตรีของสตรีมุสลิมทั้งมวลว่า

" จงอย่าได้แต่งตัวประดับประดาแห่งกาลสมัยอนารยะชน " อัลอะห์ซาบ (33) : 33


Indahnya Dunia

Profile
Profile
Admin

จำนวนข้อความ : 266
Join date : 25/07/2013

http://abcde555.blogspot.com/

ขึ้นไปข้างบน Go down

ขึ้นไปข้างบน


 
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ