การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม
หน้า 1 จาก 1
การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม
การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม ?
การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม ?
เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงไปในทางที่ดี
จึงขอนำปัญหาดังกล่าว มาตีแผ่ให้เห็น
ถึงแนวทรรศนะต่างๆของนักวิชาการที่มีต่อปัญหาดังกล่าว
ทำบุญถึงคนตาย
ปัญหาหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมาเป็นเวลานานแล้ว และยังคงเป็นปัญหา
คาใจของใครบางคนอยู่ก็คือ การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม ? อ่านอัลกุรอาน ให้คน
ตายได้ไหม และอีกมากมายหลายคำถามที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงไป
ในทางที่ดี ในทางที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างสรรค์ จึงขอนำปัญหาดังกล่าว มาตีแผ่ให้
เห็นถึงแนวทรรศนะต่างๆของนักวิชาการที่มีต่อปัญหาดังกล่าวว่าสำนักใดมีทรรศนะว่าอย่างไร
รู้แล้วจะได้เกิดความสบายใจไม่ต้องมาถกเถียงกันให้เสียเวลา เพื่อจะได้มีเวลาเหลือไปทำ
ความดีอย่างอื่น การนำเสนอปัญญานี้ไม่ได้มีเจตนาจะใช้เป็นเครื่องมือทิ่มตำฝ่ายใด เพียงแต่มี
เจตนาเผยแพร่ข้อมูลในปัญหานี้เท่านั้น.
อิบาดะห์ประเภทต่าง ๆ
อิบาดะห์ที่ศาสนาใช้ให้มุสลิมปฏิบัตินั้นจำแนกออกได้เป็นสามประเภทกล่าวคือ :
อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายเพียงอย่างเดียว เช่นละหมาด การถือศีลอด การเอียะอ์ติกาฟ การอ่านอัลกุรอาน และการซิกรุ้ลเลาะห์
อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว เช่นซะกาต และซอดาเกาะห์
อิบาดะห์ ที่ผสมกันทั้งร่างกายและทรัพย์สินคือฮัจญ์ (ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินคือเสบียง
และ ยานพาหนะ ในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายก็คือ การวุกูฟ การตอวาฟ การสะแอ และการ
ขว้างเสาหิน) เป็นต้น
แนวทางของมัซฮับต่างๆ
มัซฮับฮานาฟีและอัมบาลี
อนุญาตให้ยกผลบุญของอะมั้ล(ความดี)ที่ตนทำให้แก่ผู้อื่นได้ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ว่า
จะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกาย หรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือผสมกันระหว่างร่างกายกับ
ทรัพย์สิน.
มีระบุในตำราของมัซฮับฮานาฟี (เช่นอัซซัยละอีย์, อัลบะฮร์, อัลฮิดายะห์ และฟัตฮุ้ลกอ
ดีร) ว่าคนที่ทำอิบาดะห์ ไม่ว่าจะเป็นละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซะกาต การอ่านอัลกุรอาน
การซิกรุ้ลเลาะห์
การตอวาฟ ทำพิธีฮัจญ์ ทำพิธีอุมเราะห์ หรือความดีอย่างอื่น อนุญาตให้เขายกผลบุญ
ของอิบาดะห์เหล่านั้นให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้วก็ตาม และผล
บุญของการทำอิบาดะห์นั้นก็จะถึงผู้ที่ถูกยกให้ และไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่างคนที่ตั้งเจตนา
(เนียต)ขณะทำความดีนั้นว่าทำให้แก่ผู้อื่นหรือทำเพื่อตัวเอง แล้วหลังจากนั้นจึงยกผลบุญให้แก่
ผู้อื่น..
ระบุอยู่ในตำรา อัลมุฆนีย์ ของอิบนุกุดามะห์ ของ มัซฮับฮัมบะลีว่า ความดีใดๆ ที่มนุษย์
ได้กระทำ และยกผลบุญของการกระทำนั้นให้แก่ผู้ตายที่เป็นมุสลิม การกระทำดังกล่าวนั้นเป็น
ประโยชย์แก่ผู้ตายด้วยพระประสงค์ของอัลเลาะห์ ตาอาลา.. อิบนุ้ลกอยยิม นักวิชาการ
ของมัซฮับฮัมบาลี ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่ออัรรูฮ์ว่า : ( สิ่งประเสริฐที่สุดที่จะยก
ให้แก่ผู้ตายก็คือ การทำซอดาเกาะห์ การขออภัยโทษ(อิสติฆฟาร) และการขอดุอาอ์ให้แก่
ผู้ตาย และการทำฮัจญ์แทนให้ผู้ตาย ส่วนการอ่านอัลกุรอานและยกผลบุญการอ่านนั้นให้แก่
ผู้ตายโดยสมัครใจไม่มีค่าจ้างตอบแทน การกระทำนี้ผลบุญจะไปถึงผู้ตาย เช่นเดียวกับผลบุญ
ของการถือศีลอดและฮัจญ์ก็จะไปถึงผู้ตาย) ….
มัซฮับชาฟิอีและมาลิกี :
ส่วนมัซฮับชาฟิอีและมาลิกีนั้นทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขามีว่า อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับ
ร่างกายอย่างเดียวเช่นละหมาด การถือศีลอด และการอ่านอัลกุรอาน ผลบุญของอิบาดะห์นี้จะ
ไม่ถึงผู้ตาย ต่างกับอิบาดะห์อื่นๆ เช่นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างเดียว เช่นซะกาตและ
การทำซอดาเกาะห์ หรืออิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายกับทรัพย์สินเช่นฮัจญ์ ผลบุญของ
อิบาดะห์ประเภทนี้จะถึงผู้ตาย.
นักวิชาการยุคหลัง
ของมัซฮับชาฟิอีและมาลิกี
แต่นักวิชาการยุคหลังของทั้งสองมัซฮับ ได้เลือกเอาแนวทางที่ว่า ผลบุญของอิบาดะห์
ทุกชนิดจะไปถึงผู้ตาย เช่นการอ่านอัลกุรอานเป็นต้น, ประโยชน์ของการอ่านอัลกุรอาน
อาจเกิดจากผลบุญของการอ่านอัลกุรอานไปถึงผู้ตาย หรือบะรอกะห์(ความดีที่เพิ่มพูน)
ของการอ่านไปถึง.
ส่วนพวกมัวะอ์ตะซิละห์ (พวกที่มีความคิดนอกรีตในศาสนาอิสลาม) มีทรรศนะว่า ไม่
ยินยอมให้ใครยกผลบุญจากการทำ (อะมั้ล) ความดีของตนให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ว่า
จะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายหรือทรัพย์สินหรือที่ผสมกันจากร่างกายและทรัพย์สิน. มัซฮับ
มัวะอ์ตะซิละห์ มีทรรศนะที่ต่างกับมัซฮับฮานาฟี และต่างกับกลุ่มที่มีทรรศนะตรงกับมัซฮับ
ฮานาฟี ที่เป็นอะห์ลิซซุนนะห์.
หลักฐานของพวกมัวะอ์ตะซิละห์ :
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ อ้างหลักฐานเรื่องนี้ด้วยคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า :
" มนุษย์จะไม่ได้รับอะไร นอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้กล่าวในการใช้อายะห์นี้มาอ้างเป็นหลักฐานว่า : อัลเลาะห์ ผู้ทรง
ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้บอกไว้ในอายะห์นี้ว่า มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขา
ได้พากเพียรเอาไว้และเป็นผลงานของเขา ส่วนการพากเพียรของผู้อื่น ไม่ใช่เป็นการ
พากเพียรและผลงานของเขา.
การโต้ตอบกับพวกมัวะอ์ตะซิละห์ด้วยหลักฐาน :
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ ถูกโต้ตอบด้วยข้อความที่ท่านกามาล บุตร ฮัมมาม กล่าวไว้ใน
หนังสือของเขาชื่อฟัตฮุ้ลกอดีร (ในบทที่ว่าด้วยเรื่องการทำฮัจญ์แทนให้แก่ผู้อื่น) ว่า :
ความหมายของอายะห์ที่ว่า " มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
หมายถึง " ในกรณีที่ผู้ทำความดีไม่ได้ยกผลบุญให้แก่ผู้อื่น " แต่ถ้าหากเขาทำความดี
แล้วเขาได้ยกความดีนั้นให้แก่ผู้อื่น ความดีนั้นก็จะไปถึงผู้ที่เขายกให้ ทั้งนี้เพราะมี
ฮะดีษซอเฮียะฮ์ที่รายงานโดยบุคอรีและมุสลิมว่า:
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้เชือดแกะสองตัวที่มีสีขาวมีขนดำแซม เป็นอุดฮียะห์
(กุรบาน) โดยตัวหนึ่งท่านทำเพื่อตัวท่านเอง อีกตัวหนึ่งท่านทำแทนให้แก่
ประชาชาติของท่าน ..
ฮะดีษนี้ท่านนบีได้ทำความดีแทนให้แก่ประชาชาติของท่าน การกระทำของท่านนบีชี้ว่า
สามารถยกความดีให้แก่ผู้อื่นได้.
ฮะดีษนี้มีซอฮาบะห์หลายท่านได้รายงานและมีนักวิชาการฮะดีษได้นำออกเผยแพร่
หลายสาย และทุกสายรายงานก็จะมีข้อความตรงกันว่า ท่านนบี(ซ.ล) ได้เชือดสัตว์อุดฮียะห์
(กุรบาน) แทนให้แก่ประชาชาติของท่าน จนข้อความนี้เป็นที่แพร่หลายและรู้กันทั่วไป และ
สามารถที่จะนำไปเป็นเงื่อนไขของอายะห์ที่กล่าวมาแล้วได้. นอกจากนั้นก็ยังมีฮะดีษอีกหลาย
ฮะดีษที่ชี้ว่าเมื่อทำความดีแล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้เช่นฮะดีษที่รายงานโดยดารุกุตนีว่า :
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี (ซ.ล) แล้วถามขึ้นว่า : ฉันมีบิดามารดาที่ฉันได้เคย
ปรนนิบัติเขาทั้งสองขณะที่เขาทั้งสองมีชีวิตอยู่ แล้วฉันจะทำความดีให้แก่เขาทั้งสอง
ได้ไหมภายหลังจากเขาทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว ? ท่านนบี(ซ.ล) ได้ตอบเขาว่า :
"แท้จริงการทำความดีให้แก่บิดามารดาภายหลังจากตายไปแล้วคือการที่ท่านละหมาด
ให้แก่เขาทั้งสองพร้อมกับการละหมาดของท่าน และท่านถือศีลอดให้แก่เขาทั้งสอง
พร้อมกับการถือศีลอดของท่าน " ..
และฮะดีษที่ดารุกุตนีได้รายงานไว้อีกเช่นกันจากอิหม่ามอะลี (กัรร่อมั้ลลอฮุวัจฮะฮ์) จาก
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้กล่าวว่า :
" ผู้ใดผ่านสุสานและเขาได้อ่าน "กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด" สิบเอ็ดจบ แล้วยกผลบุญ
การอ่านให้แก่คนตาย เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับจำนวนคนตาย " ..
และฮะดีษที่รายงานจากท่านอะนัส บุตร มาลิก (ร.ด) ว่า :
" เขาได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล)ว่า : โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ : พวกเราจะทำ
ทาน (ซอดาเกาะห์) แทนคนตายของพวกเราได้ไหม, และเราจะทำฮัจญ์แทนพวกเขา
และขอดุอาอ์ให้พวกเขาได้ไหม ? และผลบุญการทำเช่นนั้นจะไปถึงพวกเขาไหม ?
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ตอบว่า : " ถูกแล้วมันจะไปถึงพวกเขา และความจริงพวกเขาจะดีใจ
กับสิ่งที่ได้รับ เหมือนที่คนใดจากพวกท่านดีใจที่มีผู้นำถาดอาหารมามอบให้แก่เขาเป็น
ของขวัญ " ..
และฮะดีษที่ว่า :
" ท่านทั้งหลายจงอ่านซูเราะห์ยาซีนให้แก่คนตายของพวกท่าน " (รายงานโดย
อะบูดาวูด)
ตัวบทเหล่านี้แม้จะมีตัวบทหลากหลายแต่มีเนื้อหาตรงกันที่ว่า" ผู้ใดที่ยกความดีของตน
ให้แก่ผู้อื่น ผลบุญของมันก็จะไปถึงผู้ที่ถูกยกให้ และอัลเลาะห์ก็จะให้เขาได้รับประโยชน์
ด้วยความดีนั้น ".. ซึ่งเนื้อหาตรงจุดนี้ถึงขั้นเป็นมุตะวาติร (คือมีผู้รายงานมากในแต่ชั้น
ของสายรายงาน)
และในอัลกุรอานก็มีคำบัญชาจากอัลเลาะห์ให้ขอดุอาอ์แก่บิดามารดา ดังปรากฏในคำ
ดำรัสที่ว่า :
" และท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของฉันได้โปรดเมตตาบิดามาดา
เหมือนกับที่เขาทั้งสองได้ดูแลฉันมาตั้งแต่เยาวัย "
และอัลกุรอานยังได้บอกกล่าวถึงเรื่องที่มะลาอิกะห์วิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มี
ศรัทธา ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาในซูเราะห์ ฆอฟิรว่า :
" บรรดามะลาอิกะห์ที่แบกอะรัช (บัลลังก์) ของอัลเลาะห์ และมะลาอิกะห์ที่อยู่
รายรอบ อะรัชกล่าวถวายความบริสุธิ์ พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาลของพวกเขา
และศรัทธาต่อพระองค์ และพวกเขาวิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มีศรัทธาว่า ข้าแด่
องค์อภิบาลของเราความเมตตาและความรู้ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทุกสิ่ง ขอได้โปรด
อภัยโทษให้แก่พวกที่สำนึกผิด และปฏิบัติตามแนวทางของท่าน และโปรดปกป้องพวก
เขาให้พ้นจากการลงโทษในนรกที่ร้อนแรง ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา และขอได้โปรดให้
พวกเขาได้เข้าสู่สวรรค์ อัดน์ ซึ่งท่านได้สัญญาไว้กับพวกเขา และแก่ผู้ที่มีคุณธรรมจาก
บรรพบุรุษของพวกเขา คู่ครองของพวกเขา และลูกหลานของพวกเขา แท้จริงท่านเป็น
ผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงหยั่งรู้ และได้โปรดปกป้องพวกเขาให้พ้นจากความชั่วร้าย และ
ผู้ใดที่ท่านปกป้องเขาให้พ้นจากความชั่วร้ายในวันนั้น แน่นอนท่านก็ได้ให้ความเมตตา
แก่เขาแล้ว และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ " (ฆอฟิร : 7-9)
ในซูเราะห์ อัชชูรอ อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :
" และมวลมะลาอิกะห์ จะกล่าวถวายความบริสุธิ์ พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาล
ของพวกเขา และวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ผู้ที่อยู่ในผืนแผ่นดิน พึงทราบเถิดว่า
แท้จริงอัลเลาะห์นั้นพระองค์ทรงอภัยยิ่งอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง "
อายะห์เหล่านี้เป็นหลักฐานที่เด็ดขาดว่า มีการได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้อื่น
ซึ่งขัดกับอายะห์ที่พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้ยกมาเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นท่านกามาล บุตร
ฮัมมาม ยังได้กล่าวอีกว่า : การที่เราสามารถหักล้างทรรศนะของพวกมัวะอ์ตะซิละห์ลงได้ด้วย
หลักฐานที่นำมานั้น มันก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธทรรศนะของชาฟิอีและมาลิกี (รอฮิมะฮุมั้ลลอฮ์)
ไปด้วยในที ซึ่งทรรศนะของอิหม่ามทั้งสองกล่าวว่า ความดีที่เกี่ยวกับร่างกายนั้นจะยกให้ผู้อื่น
ไม่ได้ เพราะมีหลัก ฐานจากฮะดีษต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วที่มีเนื้อความต้องกันว่าเมื่อทำความดี
แล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้ ...
และพวกมัวะอ์ตะซิละห์ยังได้ยกฮะดีษมาเป็นหลักฐานสนับสนุนทรรศนะของพวกเขาที่ว่า
จะยกผลบุญของความดีที่ทำไว้ให้แก่ผู้อื่นไม่ได้ด้วยฮะดีษที่ว่า :
" เมื่อมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของอาดัมเสียชีวิตลง การทำความดีของเขาก็ขาด
ตอนลง ยกเว้นสามประการคือ การอุทิศถาวรวัตถุไว้ (วะกัฟ), หรือวิชาการที่มี
ประโยชน์, หรือบุตรที่มีคุณธรรมวิงวอนขอดุอาอ์ให้เขา " ...
พวกมัวะอ์ตะซิละห์กล่าวในการอ้างหลักฐานของพวกเขาว่า : ท่านนบี (ซ.ล) บอกว่าคน
ตายจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เขาเป็นผู้ก่อไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และสิ่งใดที่เขาไม่ได้
ก่อไว้ มันก็ขาดตอนไปจากเขา.
การโต้ตอบพวกมัวะอ์ตะซิละห์ ในการนำเอาหะดีษนี้มาเป็นหลักฐานก็คือ : ท่านนบี
(ซ.ล) ไม่ได้กล่าวว่า : การรับประโยชน์ของคนตายขาดตอนลง, แต่ท่านกล่าวว่า : การทำ
ความดีของเขาขาดตอนลง, ส่วนการทำความดีของคนอื่น ก็ตกเป็นของผู้ที่กระทำ ดังนั้นถ้า
หากเขายกความดีนั้นให้แก่ผู้ตาย ผลบุญจากความดีของผู้ที่ทำก็จะไปถึงคนตาย ซึ่งมันไม่ใช่ผล
บุญจากการกระทำของคนตาย, สิ่งที่ขาดตอนนั้นคือการกระทำของคนตาย เพราะเมื่อเขาตาย
เขาจะทำความดีอะไรเองอีกไม่ได้แล้ว ส่วนสิ่งที่ไปถึงคนตายนั้นคือผลบุญที่เกิดจากการกระทำ
ของคนอื่นที่ยกให้เขา.
สรุปเรื่องการทำความดีแล้วยกผลบุญให้แก่คนตาย มีสามมัซฮับ
มัซฮับฮานาฟี, ฮัมบาลี และทรรศนะนักวิชาการของมัซฮับมาลิกีและชาฟิอีในยุค
หลังที่มีความเห็นเหมือนกับมัซฮับฮานาฟี และฮัมบาลีกล่าวว่า:
ผลบุญของความดีจากการกระทำของคนอื่นนั้นจะไปถึงคนตาย โดยไม่คำนึงว่าความดี
นั้นจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว หรือเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอย่างเดียว หรือ
เป็นอิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายและทรัพย์สิน.
2- มัซฮับมัซฮับมัวะอ์ตะซิละห์ กล่าวว่า :
ผลบุญไม่ถึงคนตายไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ประเภทใดก็ตาม.
3- มัซฮับมาลิกีและซาฟิอี ตามทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขา ที่แยกรายละเอียด
ในเรื่องอิบาดะห์ โดยกล่าวว่า :
ถ้าหากเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว ผลบุญของอิบาดะห์นั้นจะไม่ถึงคน
ตาย, แต่ถ้าหากอิบาดะห์นั้นเป็นประเภทที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว หรือเป็น
อิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างทรัพย์สินกับร่างกาย ผลบุญของอิบาดะห์ประเภทนี้จะไปถึงคนตาย.
ส่วนแนวทางที่มีน้ำหนักและถูกเลือกว่าเป็นทรรศนะที่ดีคือ มัซฮับที่หนึ่ง เพราะมี
หลักฐานที่มีน้ำหนักและแข็งแรงสนับสนุน .. และเป็นแนวทางที่ได้รับการปฏิบัติ
มาตั้งแต่ยุคของสะลัฟ(คือยุคของคนดีที่ท่านนบี (ซ.ล) รับรองไว้เป็นเวลาสามร้อยปี)
และได้ปฏิบัติมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้.
ข้อมูลจากหนังสือ: อัลฮะยาฮ์ อัลบัรซะคียะห์ ของมุฮำหมัด อับดุซซอฮิร คอลีฟะห์ โดย
เรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น.
หารายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกในหนังสือ อัลอะกีดะห์ อัตตอฮาวียะห์ ตั้งแต่หน้า 511
ถึงหน้า 518
http://www.miftahcairo.com/index.php/12-ramadon/31-2013-03-06-13-37-26
การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม ?
เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงไปในทางที่ดี
จึงขอนำปัญหาดังกล่าว มาตีแผ่ให้เห็น
ถึงแนวทรรศนะต่างๆของนักวิชาการที่มีต่อปัญหาดังกล่าว
ทำบุญถึงคนตาย
ปัญหาหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมาเป็นเวลานานแล้ว และยังคงเป็นปัญหา
คาใจของใครบางคนอยู่ก็คือ การทำบุญให้คนตาย จะถึงคนตายไหม ? อ่านอัลกุรอาน ให้คน
ตายได้ไหม และอีกมากมายหลายคำถามที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวคลี่คลายลงไป
ในทางที่ดี ในทางที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างสรรค์ จึงขอนำปัญหาดังกล่าว มาตีแผ่ให้
เห็นถึงแนวทรรศนะต่างๆของนักวิชาการที่มีต่อปัญหาดังกล่าวว่าสำนักใดมีทรรศนะว่าอย่างไร
รู้แล้วจะได้เกิดความสบายใจไม่ต้องมาถกเถียงกันให้เสียเวลา เพื่อจะได้มีเวลาเหลือไปทำ
ความดีอย่างอื่น การนำเสนอปัญญานี้ไม่ได้มีเจตนาจะใช้เป็นเครื่องมือทิ่มตำฝ่ายใด เพียงแต่มี
เจตนาเผยแพร่ข้อมูลในปัญหานี้เท่านั้น.
อิบาดะห์ประเภทต่าง ๆ
อิบาดะห์ที่ศาสนาใช้ให้มุสลิมปฏิบัตินั้นจำแนกออกได้เป็นสามประเภทกล่าวคือ :
อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายเพียงอย่างเดียว เช่นละหมาด การถือศีลอด การเอียะอ์ติกาฟ การอ่านอัลกุรอาน และการซิกรุ้ลเลาะห์
อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว เช่นซะกาต และซอดาเกาะห์
อิบาดะห์ ที่ผสมกันทั้งร่างกายและทรัพย์สินคือฮัจญ์ (ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินคือเสบียง
และ ยานพาหนะ ในส่วนที่เกี่ยวกับร่างกายก็คือ การวุกูฟ การตอวาฟ การสะแอ และการ
ขว้างเสาหิน) เป็นต้น
แนวทางของมัซฮับต่างๆ
มัซฮับฮานาฟีและอัมบาลี
อนุญาตให้ยกผลบุญของอะมั้ล(ความดี)ที่ตนทำให้แก่ผู้อื่นได้ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ว่า
จะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกาย หรือเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือผสมกันระหว่างร่างกายกับ
ทรัพย์สิน.
มีระบุในตำราของมัซฮับฮานาฟี (เช่นอัซซัยละอีย์, อัลบะฮร์, อัลฮิดายะห์ และฟัตฮุ้ลกอ
ดีร) ว่าคนที่ทำอิบาดะห์ ไม่ว่าจะเป็นละหมาด การถือศีลอด การจ่ายซะกาต การอ่านอัลกุรอาน
การซิกรุ้ลเลาะห์
การตอวาฟ ทำพิธีฮัจญ์ ทำพิธีอุมเราะห์ หรือความดีอย่างอื่น อนุญาตให้เขายกผลบุญ
ของอิบาดะห์เหล่านั้นให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชีวิตอยู่หรือล่วงลับไปแล้วก็ตาม และผล
บุญของการทำอิบาดะห์นั้นก็จะถึงผู้ที่ถูกยกให้ และไม่มีข้อแตกต่างกันระหว่างคนที่ตั้งเจตนา
(เนียต)ขณะทำความดีนั้นว่าทำให้แก่ผู้อื่นหรือทำเพื่อตัวเอง แล้วหลังจากนั้นจึงยกผลบุญให้แก่
ผู้อื่น..
ระบุอยู่ในตำรา อัลมุฆนีย์ ของอิบนุกุดามะห์ ของ มัซฮับฮัมบะลีว่า ความดีใดๆ ที่มนุษย์
ได้กระทำ และยกผลบุญของการกระทำนั้นให้แก่ผู้ตายที่เป็นมุสลิม การกระทำดังกล่าวนั้นเป็น
ประโยชย์แก่ผู้ตายด้วยพระประสงค์ของอัลเลาะห์ ตาอาลา.. อิบนุ้ลกอยยิม นักวิชาการ
ของมัซฮับฮัมบาลี ได้กล่าวไว้ในหนังสือของท่านชื่ออัรรูฮ์ว่า : ( สิ่งประเสริฐที่สุดที่จะยก
ให้แก่ผู้ตายก็คือ การทำซอดาเกาะห์ การขออภัยโทษ(อิสติฆฟาร) และการขอดุอาอ์ให้แก่
ผู้ตาย และการทำฮัจญ์แทนให้ผู้ตาย ส่วนการอ่านอัลกุรอานและยกผลบุญการอ่านนั้นให้แก่
ผู้ตายโดยสมัครใจไม่มีค่าจ้างตอบแทน การกระทำนี้ผลบุญจะไปถึงผู้ตาย เช่นเดียวกับผลบุญ
ของการถือศีลอดและฮัจญ์ก็จะไปถึงผู้ตาย) ….
มัซฮับชาฟิอีและมาลิกี :
ส่วนมัซฮับชาฟิอีและมาลิกีนั้นทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขามีว่า อิบาดะห์ที่เกี่ยวกับ
ร่างกายอย่างเดียวเช่นละหมาด การถือศีลอด และการอ่านอัลกุรอาน ผลบุญของอิบาดะห์นี้จะ
ไม่ถึงผู้ตาย ต่างกับอิบาดะห์อื่นๆ เช่นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างเดียว เช่นซะกาตและ
การทำซอดาเกาะห์ หรืออิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายกับทรัพย์สินเช่นฮัจญ์ ผลบุญของ
อิบาดะห์ประเภทนี้จะถึงผู้ตาย.
นักวิชาการยุคหลัง
ของมัซฮับชาฟิอีและมาลิกี
แต่นักวิชาการยุคหลังของทั้งสองมัซฮับ ได้เลือกเอาแนวทางที่ว่า ผลบุญของอิบาดะห์
ทุกชนิดจะไปถึงผู้ตาย เช่นการอ่านอัลกุรอานเป็นต้น, ประโยชน์ของการอ่านอัลกุรอาน
อาจเกิดจากผลบุญของการอ่านอัลกุรอานไปถึงผู้ตาย หรือบะรอกะห์(ความดีที่เพิ่มพูน)
ของการอ่านไปถึง.
ส่วนพวกมัวะอ์ตะซิละห์ (พวกที่มีความคิดนอกรีตในศาสนาอิสลาม) มีทรรศนะว่า ไม่
ยินยอมให้ใครยกผลบุญจากการทำ (อะมั้ล) ความดีของตนให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ว่า
จะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวกับร่างกายหรือทรัพย์สินหรือที่ผสมกันจากร่างกายและทรัพย์สิน. มัซฮับ
มัวะอ์ตะซิละห์ มีทรรศนะที่ต่างกับมัซฮับฮานาฟี และต่างกับกลุ่มที่มีทรรศนะตรงกับมัซฮับ
ฮานาฟี ที่เป็นอะห์ลิซซุนนะห์.
หลักฐานของพวกมัวะอ์ตะซิละห์ :
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ อ้างหลักฐานเรื่องนี้ด้วยคำดำรัสของอัลเลาะห์ตาอาลาที่ว่า :
" มนุษย์จะไม่ได้รับอะไร นอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้กล่าวในการใช้อายะห์นี้มาอ้างเป็นหลักฐานว่า : อัลเลาะห์ ผู้ทรง
ยิ่งใหญ่และเกรียงไกร ได้บอกไว้ในอายะห์นี้ว่า มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขา
ได้พากเพียรเอาไว้และเป็นผลงานของเขา ส่วนการพากเพียรของผู้อื่น ไม่ใช่เป็นการ
พากเพียรและผลงานของเขา.
การโต้ตอบกับพวกมัวะอ์ตะซิละห์ด้วยหลักฐาน :
พวกมัวะอ์ตะซิละห์ ถูกโต้ตอบด้วยข้อความที่ท่านกามาล บุตร ฮัมมาม กล่าวไว้ใน
หนังสือของเขาชื่อฟัตฮุ้ลกอดีร (ในบทที่ว่าด้วยเรื่องการทำฮัจญ์แทนให้แก่ผู้อื่น) ว่า :
ความหมายของอายะห์ที่ว่า " มนุษย์จะไม่ได้รับอะไรนอกจากสิ่งที่เขาได้ทำไว้เท่านั้น "
หมายถึง " ในกรณีที่ผู้ทำความดีไม่ได้ยกผลบุญให้แก่ผู้อื่น " แต่ถ้าหากเขาทำความดี
แล้วเขาได้ยกความดีนั้นให้แก่ผู้อื่น ความดีนั้นก็จะไปถึงผู้ที่เขายกให้ ทั้งนี้เพราะมี
ฮะดีษซอเฮียะฮ์ที่รายงานโดยบุคอรีและมุสลิมว่า:
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้เชือดแกะสองตัวที่มีสีขาวมีขนดำแซม เป็นอุดฮียะห์
(กุรบาน) โดยตัวหนึ่งท่านทำเพื่อตัวท่านเอง อีกตัวหนึ่งท่านทำแทนให้แก่
ประชาชาติของท่าน ..
ฮะดีษนี้ท่านนบีได้ทำความดีแทนให้แก่ประชาชาติของท่าน การกระทำของท่านนบีชี้ว่า
สามารถยกความดีให้แก่ผู้อื่นได้.
ฮะดีษนี้มีซอฮาบะห์หลายท่านได้รายงานและมีนักวิชาการฮะดีษได้นำออกเผยแพร่
หลายสาย และทุกสายรายงานก็จะมีข้อความตรงกันว่า ท่านนบี(ซ.ล) ได้เชือดสัตว์อุดฮียะห์
(กุรบาน) แทนให้แก่ประชาชาติของท่าน จนข้อความนี้เป็นที่แพร่หลายและรู้กันทั่วไป และ
สามารถที่จะนำไปเป็นเงื่อนไขของอายะห์ที่กล่าวมาแล้วได้. นอกจากนั้นก็ยังมีฮะดีษอีกหลาย
ฮะดีษที่ชี้ว่าเมื่อทำความดีแล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้เช่นฮะดีษที่รายงานโดยดารุกุตนีว่า :
มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี (ซ.ล) แล้วถามขึ้นว่า : ฉันมีบิดามารดาที่ฉันได้เคย
ปรนนิบัติเขาทั้งสองขณะที่เขาทั้งสองมีชีวิตอยู่ แล้วฉันจะทำความดีให้แก่เขาทั้งสอง
ได้ไหมภายหลังจากเขาทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว ? ท่านนบี(ซ.ล) ได้ตอบเขาว่า :
"แท้จริงการทำความดีให้แก่บิดามารดาภายหลังจากตายไปแล้วคือการที่ท่านละหมาด
ให้แก่เขาทั้งสองพร้อมกับการละหมาดของท่าน และท่านถือศีลอดให้แก่เขาทั้งสอง
พร้อมกับการถือศีลอดของท่าน " ..
และฮะดีษที่ดารุกุตนีได้รายงานไว้อีกเช่นกันจากอิหม่ามอะลี (กัรร่อมั้ลลอฮุวัจฮะฮ์) จาก
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล) ได้กล่าวว่า :
" ผู้ใดผ่านสุสานและเขาได้อ่าน "กุ้ลฮุวั้ลลอฮุอะฮัด" สิบเอ็ดจบ แล้วยกผลบุญ
การอ่านให้แก่คนตาย เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับจำนวนคนตาย " ..
และฮะดีษที่รายงานจากท่านอะนัส บุตร มาลิก (ร.ด) ว่า :
" เขาได้ถามท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ (ซ.ล)ว่า : โอ้ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ : พวกเราจะทำ
ทาน (ซอดาเกาะห์) แทนคนตายของพวกเราได้ไหม, และเราจะทำฮัจญ์แทนพวกเขา
และขอดุอาอ์ให้พวกเขาได้ไหม ? และผลบุญการทำเช่นนั้นจะไปถึงพวกเขาไหม ?
ท่านรอซูลุ้ลเลาะห์ ตอบว่า : " ถูกแล้วมันจะไปถึงพวกเขา และความจริงพวกเขาจะดีใจ
กับสิ่งที่ได้รับ เหมือนที่คนใดจากพวกท่านดีใจที่มีผู้นำถาดอาหารมามอบให้แก่เขาเป็น
ของขวัญ " ..
และฮะดีษที่ว่า :
" ท่านทั้งหลายจงอ่านซูเราะห์ยาซีนให้แก่คนตายของพวกท่าน " (รายงานโดย
อะบูดาวูด)
ตัวบทเหล่านี้แม้จะมีตัวบทหลากหลายแต่มีเนื้อหาตรงกันที่ว่า" ผู้ใดที่ยกความดีของตน
ให้แก่ผู้อื่น ผลบุญของมันก็จะไปถึงผู้ที่ถูกยกให้ และอัลเลาะห์ก็จะให้เขาได้รับประโยชน์
ด้วยความดีนั้น ".. ซึ่งเนื้อหาตรงจุดนี้ถึงขั้นเป็นมุตะวาติร (คือมีผู้รายงานมากในแต่ชั้น
ของสายรายงาน)
และในอัลกุรอานก็มีคำบัญชาจากอัลเลาะห์ให้ขอดุอาอ์แก่บิดามารดา ดังปรากฏในคำ
ดำรัสที่ว่า :
" และท่านจงกล่าวว่า ข้าแด่องค์อภิบาลของฉันได้โปรดเมตตาบิดามาดา
เหมือนกับที่เขาทั้งสองได้ดูแลฉันมาตั้งแต่เยาวัย "
และอัลกุรอานยังได้บอกกล่าวถึงเรื่องที่มะลาอิกะห์วิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มี
ศรัทธา ในคำดำรัสของอัลเลาะห์ ตาอาลาในซูเราะห์ ฆอฟิรว่า :
" บรรดามะลาอิกะห์ที่แบกอะรัช (บัลลังก์) ของอัลเลาะห์ และมะลาอิกะห์ที่อยู่
รายรอบ อะรัชกล่าวถวายความบริสุธิ์ พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาลของพวกเขา
และศรัทธาต่อพระองค์ และพวกเขาวิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกที่มีศรัทธาว่า ข้าแด่
องค์อภิบาลของเราความเมตตาและความรู้ของพระองค์แผ่ไพศาลทั่วทุกสิ่ง ขอได้โปรด
อภัยโทษให้แก่พวกที่สำนึกผิด และปฏิบัติตามแนวทางของท่าน และโปรดปกป้องพวก
เขาให้พ้นจากการลงโทษในนรกที่ร้อนแรง ข้าแด่องค์อภิบาลของเรา และขอได้โปรดให้
พวกเขาได้เข้าสู่สวรรค์ อัดน์ ซึ่งท่านได้สัญญาไว้กับพวกเขา และแก่ผู้ที่มีคุณธรรมจาก
บรรพบุรุษของพวกเขา คู่ครองของพวกเขา และลูกหลานของพวกเขา แท้จริงท่านเป็น
ผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงหยั่งรู้ และได้โปรดปกป้องพวกเขาให้พ้นจากความชั่วร้าย และ
ผู้ใดที่ท่านปกป้องเขาให้พ้นจากความชั่วร้ายในวันนั้น แน่นอนท่านก็ได้ให้ความเมตตา
แก่เขาแล้ว และนั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ " (ฆอฟิร : 7-9)
ในซูเราะห์ อัชชูรอ อัลเลาะห์ตาอาลาตรัสว่า :
" และมวลมะลาอิกะห์ จะกล่าวถวายความบริสุธิ์ พร้อมด้วยสรรเสริญองค์อภิบาล
ของพวกเขา และวิงวอนขออภัยโทษให้แก่ผู้ที่อยู่ในผืนแผ่นดิน พึงทราบเถิดว่า
แท้จริงอัลเลาะห์นั้นพระองค์ทรงอภัยยิ่งอีกทั้งทรงเมตตายิ่ง "
อายะห์เหล่านี้เป็นหลักฐานที่เด็ดขาดว่า มีการได้รับประโยชน์จากการกระทำของผู้อื่น
ซึ่งขัดกับอายะห์ที่พวกมัวะอ์ตะซิละห์ได้ยกมาเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นท่านกามาล บุตร
ฮัมมาม ยังได้กล่าวอีกว่า : การที่เราสามารถหักล้างทรรศนะของพวกมัวะอ์ตะซิละห์ลงได้ด้วย
หลักฐานที่นำมานั้น มันก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธทรรศนะของชาฟิอีและมาลิกี (รอฮิมะฮุมั้ลลอฮ์)
ไปด้วยในที ซึ่งทรรศนะของอิหม่ามทั้งสองกล่าวว่า ความดีที่เกี่ยวกับร่างกายนั้นจะยกให้ผู้อื่น
ไม่ได้ เพราะมีหลัก ฐานจากฮะดีษต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วที่มีเนื้อความต้องกันว่าเมื่อทำความดี
แล้วสามารถยกให้แก่คนอื่นได้ ...
และพวกมัวะอ์ตะซิละห์ยังได้ยกฮะดีษมาเป็นหลักฐานสนับสนุนทรรศนะของพวกเขาที่ว่า
จะยกผลบุญของความดีที่ทำไว้ให้แก่ผู้อื่นไม่ได้ด้วยฮะดีษที่ว่า :
" เมื่อมนุษย์ที่เป็นลูกหลานของอาดัมเสียชีวิตลง การทำความดีของเขาก็ขาด
ตอนลง ยกเว้นสามประการคือ การอุทิศถาวรวัตถุไว้ (วะกัฟ), หรือวิชาการที่มี
ประโยชน์, หรือบุตรที่มีคุณธรรมวิงวอนขอดุอาอ์ให้เขา " ...
พวกมัวะอ์ตะซิละห์กล่าวในการอ้างหลักฐานของพวกเขาว่า : ท่านนบี (ซ.ล) บอกว่าคน
ตายจะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เขาเป็นผู้ก่อไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ และสิ่งใดที่เขาไม่ได้
ก่อไว้ มันก็ขาดตอนไปจากเขา.
การโต้ตอบพวกมัวะอ์ตะซิละห์ ในการนำเอาหะดีษนี้มาเป็นหลักฐานก็คือ : ท่านนบี
(ซ.ล) ไม่ได้กล่าวว่า : การรับประโยชน์ของคนตายขาดตอนลง, แต่ท่านกล่าวว่า : การทำ
ความดีของเขาขาดตอนลง, ส่วนการทำความดีของคนอื่น ก็ตกเป็นของผู้ที่กระทำ ดังนั้นถ้า
หากเขายกความดีนั้นให้แก่ผู้ตาย ผลบุญจากความดีของผู้ที่ทำก็จะไปถึงคนตาย ซึ่งมันไม่ใช่ผล
บุญจากการกระทำของคนตาย, สิ่งที่ขาดตอนนั้นคือการกระทำของคนตาย เพราะเมื่อเขาตาย
เขาจะทำความดีอะไรเองอีกไม่ได้แล้ว ส่วนสิ่งที่ไปถึงคนตายนั้นคือผลบุญที่เกิดจากการกระทำ
ของคนอื่นที่ยกให้เขา.
สรุปเรื่องการทำความดีแล้วยกผลบุญให้แก่คนตาย มีสามมัซฮับ
มัซฮับฮานาฟี, ฮัมบาลี และทรรศนะนักวิชาการของมัซฮับมาลิกีและชาฟิอีในยุค
หลังที่มีความเห็นเหมือนกับมัซฮับฮานาฟี และฮัมบาลีกล่าวว่า:
ผลบุญของความดีจากการกระทำของคนอื่นนั้นจะไปถึงคนตาย โดยไม่คำนึงว่าความดี
นั้นจะเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว หรือเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินอย่างเดียว หรือ
เป็นอิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างร่างกายและทรัพย์สิน.
2- มัซฮับมัซฮับมัวะอ์ตะซิละห์ กล่าวว่า :
ผลบุญไม่ถึงคนตายไม่ว่าจะเป็นอิบาดะห์ประเภทใดก็ตาม.
3- มัซฮับมาลิกีและซาฟิอี ตามทรรศนะที่แพร่หลายของพวกเขา ที่แยกรายละเอียด
ในเรื่องอิบาดะห์ โดยกล่าวว่า :
ถ้าหากเป็นอิบาดะห์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกายอย่างเดียว ผลบุญของอิบาดะห์นั้นจะไม่ถึงคน
ตาย, แต่ถ้าหากอิบาดะห์นั้นเป็นประเภทที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว หรือเป็น
อิบาดะห์ที่ผสมกันระหว่างทรัพย์สินกับร่างกาย ผลบุญของอิบาดะห์ประเภทนี้จะไปถึงคนตาย.
ส่วนแนวทางที่มีน้ำหนักและถูกเลือกว่าเป็นทรรศนะที่ดีคือ มัซฮับที่หนึ่ง เพราะมี
หลักฐานที่มีน้ำหนักและแข็งแรงสนับสนุน .. และเป็นแนวทางที่ได้รับการปฏิบัติ
มาตั้งแต่ยุคของสะลัฟ(คือยุคของคนดีที่ท่านนบี (ซ.ล) รับรองไว้เป็นเวลาสามร้อยปี)
และได้ปฏิบัติมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้.
ข้อมูลจากหนังสือ: อัลฮะยาฮ์ อัลบัรซะคียะห์ ของมุฮำหมัด อับดุซซอฮิร คอลีฟะห์ โดย
เรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น.
หารายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกในหนังสือ อัลอะกีดะห์ อัตตอฮาวียะห์ ตั้งแต่หน้า 511
ถึงหน้า 518
http://www.miftahcairo.com/index.php/12-ramadon/31-2013-03-06-13-37-26
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|