อีหม่ามนาวาวี กล่าว ใน ตำรามัจญมูอ์ ว่า
หน้า 1 จาก 1
อีหม่ามนาวาวี กล่าว ใน ตำรามัจญมูอ์ ว่า
อีหม่ามนาวาวี กล่าว ใน ตำรามัจญมูอ์ ว่า
เป็นเรื่องจริงที่อีหม่ามชาฟีอี เคยกล่าวว่า หากพวกท่านอ่านตำราของฉันและพบสิ่งที่ขัดแย้งกับฮาดิษ พวกท่านจงปฏิบัติตามฮาดิษนั้น และจงทิ้งทรรศนะของฉัน
หรือมีอีกสำนวนหนึ่ง คือ หากมีฮาดิษที่ศอเฮิยะห์ขัดกับทรรศนะของฉัน ฮาดิษนั่นแหละคือมัซฮับของฉัน
วาทกรรมนี้ ไมใช่หมายความว่า ใครก็ตามที่ได้พบฮาดิษหนึ่งที่ศอเฮียะฮ์ เขาก็ตัดสินเลยว่า ฮาดิษนี่แหละคือมัซฮับชาฟีอี อันที่จริงแล้ววาทกรรมนี้กำลังหมายถึงผู้ที่อยู่ในระดับอิจญตีฮาดในมัซฮับ โดยมีเงื่อนไขว่า เขาผู้นั้นเกือบจะแน่ใจ ว่าอีหม่ามชาฟีอียังไม่ได้เจอกับฮาดิษบทนั้นหรืออีหม่ามชาฟีอียังไม่รู้ว่าฮาดิษบทนั้นศอเฮียะห์หรือไม่ ซึ่งเขาจะรู้สิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขาได้อ่านตำราของอีหม่ามชาฟีอีทั้งหมดพร้อมกับตำราทั้งหมดของบรรดาศิษย์อีหม่ามชาฟีอีและตำราอื่นๆที่คล้ายๆกัน .แน่นอนเงื่อนไขเช่นนี้ยากที่ใครจะทำได้ แล้วทำไมต้องมีเงื่อนไขเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่า มีหลายฮาดิษด้วยกันที่อีหม่ามชาฟีอีพบแล้วแต่ไม่ได้นำไปใช้ นั่นก็เพราะอีหม่ามชาฟีอีพบว่ามีข้อบกพร่องบางอย่าง หรือถูกยกเลิกไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะมีหลักฐานอื่นมาจำกัดความหมายของมัน หรือเพราะถูกตีความเป็นอีกความหมายหนึ่ง
อีหม่ามอิบนุศศอลาห์กล่าวว่า การปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาต่อวาทกรรมนั้นของอีหม่ามชาฟีอี มันไมใช่เรื่องง่ายๆ . อูลามะฟิกฮ์ทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติตามตัวบทฮาดิษที่ตนเองเห็นว่าเป็นหลักฐานกันง่ายๆ เพราะมีลูกศิษย์อีหม่ามชาฟีอีท่านหนึ่ง ชื่อ อิบนู อบิล ญารูด ซึ่งยึดวาทะกรรมนั้นเป็นหลัก จนเมื่อเขาได้พบว่า ฮาดิษหนึ่งที่เกี่ยวกับการเสียบวชของผู้ที่กรอกเลือดและผู้ที่ถูกกรอกนั้น เป็นฮาดิษที่ศอเฮียะห์ เขาก็เลยตัดสินว่า อีหม่ามชาฟีอีมีทรรศนะว่า ผู้ที่กรอกเลือดและผู้ที่ถูกกรอกนั้น จะต้องเสียบวช ( ตามความหมายเผินๆของตัวบทฮาดิษนั้น ) อูลามาอื่นๆของมัซฮับชาฟีอีก็ไม่เห็นด้วยและแย้งว่า จริงๆแล้วอีหม่ามชาฟีอีก็พบฮาดิษบทนั้นแล้วและก็รู้ดีว่าฮาดิษนั้นศอเฮียะห์แต่พบว่ามันถูกยกเลิก จึงใช้ไม่ได้ เพราะมีอีกฮาดิษบทหนึ่งที่มาหักล้างฮาดิษบทนั้น .
อีหม่ามอิบนูคูซัยมะห์ ( อูลามาฮาดิษ ) กล่าวว่า ฉันไม่ทราบว่ามีฮาดิษสักบทหนึ่งที่เกี่ยวกับฮาลาลและฮารอม ที่อีหม่ามชาฟีอีไม่ได้กล่าวถึงในตำราของเขา
อีหม่ามอิบนุศศอลาห์กล่าวว่า อูลามามัซฮับชาฟีอีคนใหนก็ตาม ที่พบฮาดิษที่ขัดแย้งกับทรรศนะของอีหม่ามชาฟีอี ต้องพิจารณาดูก่อนว่า
หากอูลามาคนนั้นมีเงื่อนไขการเป็นอิจตีฮาดครบสมบูรณ์ หรืออิจตีฮาดได้เฉพาะเรื่องนั้นหรือปัญหานั้นอย่างเดียว เขาก็สามารถปฏิบัติตามฮาดิษนั้นได้
หรือหากอูลามาคนนั้นมีเงื่อนไขไม่ครบ แล้วเขาก็พยายามค้นหาสาเหตุที่สมเหตุสมผลในการทิ้งฮาดิษบทนั้นนั้น แต่เขาก็ไม่พบ และมีความรู้สึกลำบากใจอย่างมากที่จะไม่ปฏิบัติตามฮาดิษบทนั้น เขาก็สามารถปฏิบัติตามฮาดิษนั้นได้เช่นกัน แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีอีหม่ามระดับมัซฮับทั้ง 4 สักคนหนึ่งได้ปฏิบัติตามฮาดิษบทนั้นเช่นกัน และนี่คือเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เขาต้องทิ้งมัซฮับชาฟีอี
หลักการที่ได้กล่าวโดยอีหม่ามอิบนุศศอลาห์นี้ ดีและสมควรต้องปฏิบัติตาม
( ทั้งหมดแปลจากคำพูดของอีหม่ามนาวาวีในหนังสือ มัจญ์มูอ์ แต่ก็มีบางตอนตัดออกบ้างเพราะไม่ใช่แก่นของสาระที่จะนำเสนอ )
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B5/766049376792881
เป็นเรื่องจริงที่อีหม่ามชาฟีอี เคยกล่าวว่า หากพวกท่านอ่านตำราของฉันและพบสิ่งที่ขัดแย้งกับฮาดิษ พวกท่านจงปฏิบัติตามฮาดิษนั้น และจงทิ้งทรรศนะของฉัน
หรือมีอีกสำนวนหนึ่ง คือ หากมีฮาดิษที่ศอเฮิยะห์ขัดกับทรรศนะของฉัน ฮาดิษนั่นแหละคือมัซฮับของฉัน
วาทกรรมนี้ ไมใช่หมายความว่า ใครก็ตามที่ได้พบฮาดิษหนึ่งที่ศอเฮียะฮ์ เขาก็ตัดสินเลยว่า ฮาดิษนี่แหละคือมัซฮับชาฟีอี อันที่จริงแล้ววาทกรรมนี้กำลังหมายถึงผู้ที่อยู่ในระดับอิจญตีฮาดในมัซฮับ โดยมีเงื่อนไขว่า เขาผู้นั้นเกือบจะแน่ใจ ว่าอีหม่ามชาฟีอียังไม่ได้เจอกับฮาดิษบทนั้นหรืออีหม่ามชาฟีอียังไม่รู้ว่าฮาดิษบทนั้นศอเฮียะห์หรือไม่ ซึ่งเขาจะรู้สิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขาได้อ่านตำราของอีหม่ามชาฟีอีทั้งหมดพร้อมกับตำราทั้งหมดของบรรดาศิษย์อีหม่ามชาฟีอีและตำราอื่นๆที่คล้ายๆกัน .แน่นอนเงื่อนไขเช่นนี้ยากที่ใครจะทำได้ แล้วทำไมต้องมีเงื่อนไขเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่า มีหลายฮาดิษด้วยกันที่อีหม่ามชาฟีอีพบแล้วแต่ไม่ได้นำไปใช้ นั่นก็เพราะอีหม่ามชาฟีอีพบว่ามีข้อบกพร่องบางอย่าง หรือถูกยกเลิกไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะมีหลักฐานอื่นมาจำกัดความหมายของมัน หรือเพราะถูกตีความเป็นอีกความหมายหนึ่ง
อีหม่ามอิบนุศศอลาห์กล่าวว่า การปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาต่อวาทกรรมนั้นของอีหม่ามชาฟีอี มันไมใช่เรื่องง่ายๆ . อูลามะฟิกฮ์ทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติตามตัวบทฮาดิษที่ตนเองเห็นว่าเป็นหลักฐานกันง่ายๆ เพราะมีลูกศิษย์อีหม่ามชาฟีอีท่านหนึ่ง ชื่อ อิบนู อบิล ญารูด ซึ่งยึดวาทะกรรมนั้นเป็นหลัก จนเมื่อเขาได้พบว่า ฮาดิษหนึ่งที่เกี่ยวกับการเสียบวชของผู้ที่กรอกเลือดและผู้ที่ถูกกรอกนั้น เป็นฮาดิษที่ศอเฮียะห์ เขาก็เลยตัดสินว่า อีหม่ามชาฟีอีมีทรรศนะว่า ผู้ที่กรอกเลือดและผู้ที่ถูกกรอกนั้น จะต้องเสียบวช ( ตามความหมายเผินๆของตัวบทฮาดิษนั้น ) อูลามาอื่นๆของมัซฮับชาฟีอีก็ไม่เห็นด้วยและแย้งว่า จริงๆแล้วอีหม่ามชาฟีอีก็พบฮาดิษบทนั้นแล้วและก็รู้ดีว่าฮาดิษนั้นศอเฮียะห์แต่พบว่ามันถูกยกเลิก จึงใช้ไม่ได้ เพราะมีอีกฮาดิษบทหนึ่งที่มาหักล้างฮาดิษบทนั้น .
อีหม่ามอิบนูคูซัยมะห์ ( อูลามาฮาดิษ ) กล่าวว่า ฉันไม่ทราบว่ามีฮาดิษสักบทหนึ่งที่เกี่ยวกับฮาลาลและฮารอม ที่อีหม่ามชาฟีอีไม่ได้กล่าวถึงในตำราของเขา
อีหม่ามอิบนุศศอลาห์กล่าวว่า อูลามามัซฮับชาฟีอีคนใหนก็ตาม ที่พบฮาดิษที่ขัดแย้งกับทรรศนะของอีหม่ามชาฟีอี ต้องพิจารณาดูก่อนว่า
หากอูลามาคนนั้นมีเงื่อนไขการเป็นอิจตีฮาดครบสมบูรณ์ หรืออิจตีฮาดได้เฉพาะเรื่องนั้นหรือปัญหานั้นอย่างเดียว เขาก็สามารถปฏิบัติตามฮาดิษนั้นได้
หรือหากอูลามาคนนั้นมีเงื่อนไขไม่ครบ แล้วเขาก็พยายามค้นหาสาเหตุที่สมเหตุสมผลในการทิ้งฮาดิษบทนั้นนั้น แต่เขาก็ไม่พบ และมีความรู้สึกลำบากใจอย่างมากที่จะไม่ปฏิบัติตามฮาดิษบทนั้น เขาก็สามารถปฏิบัติตามฮาดิษนั้นได้เช่นกัน แต่มีข้อแม้ว่าต้องมีอีหม่ามระดับมัซฮับทั้ง 4 สักคนหนึ่งได้ปฏิบัติตามฮาดิษบทนั้นเช่นกัน และนี่คือเหตุสุดวิสัยที่ทำให้เขาต้องทิ้งมัซฮับชาฟีอี
หลักการที่ได้กล่าวโดยอีหม่ามอิบนุศศอลาห์นี้ ดีและสมควรต้องปฏิบัติตาม
( ทั้งหมดแปลจากคำพูดของอีหม่ามนาวาวีในหนังสือ มัจญ์มูอ์ แต่ก็มีบางตอนตัดออกบ้างเพราะไม่ใช่แก่นของสาระที่จะนำเสนอ )
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AE%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B5/766049376792881
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|